ถ้าเราพูดถึงคำว่าฟิลเลอร์ใต้ตา เราก็คงจะคุ้นกันใช่มั้ยครับว่ามันคือหัตถการหรือนวัตกรรมความงามอย่างหนึ่งที่ช่วยยกระดับในเรื่องของการแก้ปัญหาใต้ตาคล้ำ ถุงใต้ตา และริ้วรอยได้ตาให้หน้าตาของเราดูแจ่มใสและดูเด็กลง และเป็นหนึ่งในหัตถการเสริมความงามที่ได้รับความนิยมอย่างมากในปัจจุบัน แล้วในความเป็นจริงการฉีดฟิลเลอร์ใต้ตาไม่เพียงแต่ช่วยลดรอยคล้ำ ริ้วรอย และเพิ่มความสดใสให้ใบหน้า แต่ยังมีความเชื่อมโยงกับไลฟ์สไตล์และการบริโภคสินค้าแบรนด์เนมอย่างลึกซึ้ง ซึ่งสะท้อนถึงแนวโน้มทางสังคมที่ให้ความสำคัญกับภาพลักษณ์และสถานะทางสังคมอีกด้วย แล้วมันเชื่อมโยงกันอย่างไร? จะเกิดข้อดีข้อเสียต่อชีวิตเราอย่างไร ?
ในโลกของเรา ณ ปัจจุบันเรามักจะเห็นสินค้าหลาย ๆ ประเภทที่มีการแบ่งความหรูหราหรือความ Luxury ของแบรนด์นั้นอย่างเช่นกระเป๋า นาฬิกา หรือแม้แต่รถยนต์ ล้วนมีการแบ่งความ Luxury อย่างชัดเจน แต่ใครจะไปคิดครับว่าในด้านของนวัตกรรมความงามอย่างฟิลเลอร์ใต้ตาก็ยังสามารถส่งผลให้สังคมของเรามีการแบ่งความ Luxury ของสังคมได้ ผมขอให้ทุกคนลองสังเกตโซเชียลมีเดียอย่าง Instagram และ TikTok ดูครับว่า Account ที่มีการ Engagement เยอะ ๆ มักจะมาจากผู้คนที่มีความงามเป็นพิมพ์นิยมของโลกเราอยู่เสมอ โซเชีบลมีเดียพวกนี้มีบทบาทสำคัญในการกำหนดมาตรฐานความงามหรือเจาะจงเลยก็คือ “ความสมบูรณ์แบบ” ที่แสดงผ่านผิวเนียนใส ไร้ริ้วรอย และใบหน้าที่สดใส กลายเป็นเป้าหมายที่หลายคนต้องการที่จะเป็น ฟิลเลอร์ใต้ตาจึงถูกมองว่าเป็นเครื่องมือที่ช่วยให้ผู้คนสามารถปรับรูปลักษณ์ของตนเองให้สอดคล้องกับมาตรฐานดังที่ผมกล่าวมา นอกจากนี้การฉีดฟิลเลอร์ใต้ตายังสะท้อนถึงความต้องการใน “ความอ่อนเยาว์” ซึ่งเป็นค่านิยมที่ผูกโยงกับความสำเร็จและความมั่นใจในชีวิต ทั้งในด้านการทำงานและความสัมพันธ์ส่วนตัว ความงามที่ดู “เป็นธรรมชาติ” แต่ถูกปรับแต่งมาอย่างดี กลายเป็นสัญลักษณ์ของความพยายามในการดูแลตัวเอง ซึ่งมักจะถูกยกย่องในสังคมยุคใหม่ แต่ที่ผมอยากจะสื่อก็คือ Brandname & Lifestyle มันกำลังถูกกระทบในสังคมของเรามันเป็นแบบนี้อยู่ ซึ่งมันกระทบอะไรบ้าง ผมมีคำตอบครับ
ไลฟ์สไตล์การบริโภคสินค้าแบรนด์เนม
อย่างที่ผมบอกไปครับว่า ฟิลเลอร์ใต้ตาไม่ได้เป็นเพียงกระบวนการเสริมความงามเพียงอย่างเดียว แต่ยังมีความเกี่ยวข้องกับไลฟ์สไตล์และการบริโภคสินค้าแบรนด์เนมอย่างชัดเจน ผู้ที่เลือกฉีดฟิลเลอร์ใต้ตามักเป็นกลุ่มคนที่ใส่ใจในภาพลักษณ์และพร้อมลงทุนในสิ่งที่ช่วยยกระดับความมั่นใจ รวมถึงค่านิยมเหล่านี้มักเชื่อมโยงกับการบริโภคสินค้าหรูหรา เช่น กระเป๋า รองเท้า หรือเครื่องประดับจากแบรนด์เนมที่มีชื่อเสียง
ในความเป็นจริงการบริโภคสินค้าแบรนด์เนมไม่เพียงแต่แสดงถึงรสนิยม แต่ยังเป็นการสื่อสารถึงสถานะทางสังคม เช่นเดียวกับการดูแลภาพลักษณ์ผ่านฟิลเลอร์ใต้ตา คนจำนวนไม่น้อยมองว่าการลงทุนในรูปลักษณ์ของตนเองและการเลือกใช้สินค้าหรูเป็นการสะท้อนถึง “คุณค่า” และ “ความสำเร็จ” ที่พวกเขาต้องการแสดงออกต่อสังคมครับ
วัฒนธรรมการบริโภคที่ขับเคลื่อนด้วยสื่อสังคมออนไลน์
สื่อสังคมออนไลน์หรือโซเชีบลมีเดียนี่ตัวดีเลยครับ เพราะอินฟลูเอนเซอร์หรือบุคคลที่มีชื่อเสียงในแพลตฟอร์มเหล่านี้ มักแชร์ประสบการณ์การดูแลตัวเอง เช่น การใช้สินค้าแบรนด์เนมในชีวิตประจำวัน หรือการฉีดฟิลเลอร์ใต้ตาก็เช่นกัน ภาพลักษณ์ที่สมบูรณ์แบบในสื่อพวกนี้จะกลายเป็นแรงกระตุ้นให้ผู้ติดตามจำนวนมากรู้สึกว่าต้องทำตาม ไม่ว่าจะเป็นการปรับปรุงรูปลักษณ์ของตัวเอง หรือการเลือกซื้อสินค้าที่สะท้อนถึงไลฟ์สไตล์ในแบบที่ต้องการ การฉีดฟิลเลอร์ใต้ตาจึงเป็นหนึ่งในเครื่องมือที่ช่วยให้ผู้คนรู้สึกว่าได้เข้าใกล้มาตรฐานความงามตามที่สื่อออนไลน์นำเสนอครับ
ภาพลักษณ์และสถานะทางสังคม
ถ้าเราสังเกตในหลาย ๆ วัฒนธรรม ไม่ว่าจะเป็นสังคมทั่วไปของเรา หรือแม้แต่กระทั่งสังคมชนเผ่าต่าง ๆ ความงามมักถูกเชื่อมโยงกับสถานะทางสังคมเสมอ ซึ่งในสังคมของเราผู้ที่มีรูปลักษณ์ที่ดูดีและใช้สินค้าแบรนด์เนมมักได้รับการยอมรับหรือชื่นชมในวงสังคม มันเลยทำให้การฉีดฟิลเลอร์ใต้ตาช่วยสร้างความมั่นใจและเสริมสร้างภาพลักษณ์ในเชิงบวก เช่น ทำให้ดูมีความพร้อมในการทำงานหรือการเข้าสังคม สินค้าแบรนด์เนมยังช่วยเสริมความโดดเด่นให้กับบุคลิกภาพของเรา การจับคู่ระหว่างใบหน้าที่ดูสดใสหลังการฉีดฟิลเลอร์กับการแต่งกายด้วยเสื้อผ้าและเครื่องประดับจากแบรนด์ชั้นนำ ช่วยสร้างความประทับใจในแวดวงสังคม ซึ่งเป็นสิ่งที่มีความสำคัญในโลกปัจจุบันที่ให้ความสำคัญกับภาพลักษณ์เป็นอย่างมากครับ
ผลกระทบทางจิตใจและสังคม
เป็นผลพวงมาจากหัวข้อก่อนหน้านี้เลยครับ แม้ว่าฟิลเลอร์ใต้ตาและสินค้าแบรนด์เนมจะช่วยเสริมสร้างความมั่นใจให้กับผู้คนได้มาก แต่ในขณะเดียวกันก็นำมาซึ่งแรงกดดันทางสังคม โดยเฉพาะในกลุ่มคนที่ไม่สามารถเข้าถึงบริการหรือสินค้าเหล่านี้ได้เช่น ผู้ที่ไม่มีกำลังทรัพย์พอ สิ่งนี้อาจทำให้เกิดความรู้สึกด้อยค่าในตัวเอง หรือความวิตกกังวลเกี่ยวกับรูปลักษณ์ภายนอก นอกจากนี้การยึดติดกับภาพลักษณ์ภายนอกที่สมบูรณ์แบบเกินไป อาจส่งผลต่อสุขภาพจิตในระยะยาว เช่น การเปรียบเทียบตัวเองกับผู้อื่น หรือการรู้สึกว่าต้องใช้จ่ายเกินกำลังเพื่อรักษาภาพลักษณ์ของตนเอง สุขภาพจิตของเราก็จะรู้สึกถูกกดดันอยู่ตลอดเวลาครับ
แนวทางส่งเสริมความงามและไลฟ์สไตล์ที่ยั่งยืน
ผมขอปิดท้ายด้วยหัวข้อนี้ที่จะสอนใจเราครับ เพราะสุดท้ายแล้วถ้าอยากจะสร้างความสมดุลระหว่างการดูแลตัวเองและการดำรงชีวิตอย่างยั่งยืน สังคมควรส่งเสริมค่านิยมความงามที่หลากหลาย และลดแรงกดดันจากมาตรฐานความงามที่เข้มงวดครับ ผู้ให้บริการเสริมความงามและแบรนด์สินค้าควรมีบทบาทบ้างในการสร้างความเข้าใจว่า ความงามไม่ได้มีเพียงรูปแบบเดียว และควรส่งเสริมให้ผู้คนเห็นคุณค่าในตัวเอง ทั้งในด้านร่างกายและจิตใจ การเน้นไปที่การดูแลสุขภาพโดยรวม และการสร้างความสุขในแบบของตัวเอง พวกนี้เป็นกุญแจสำคัญที่ช่วยให้ผู้คนสามารถเพลิดเพลินกับการดูแลตัวเองและไลฟ์สไตล์โดยไม่ต้องเผชิญกับแรงกดดันทางสังคมมากเกินไปแน่นอน
แหล่งที่มา